ข้อควรรู้ก่อนไป trekking สำหรับมือใหม่ #1 อย่าไปเพียงเพราะเห็นรีวิวสวย หรือไปเพราะเพื่อนชวน

ปัจจุบันที่คลินิกนักท่องเที่ยว โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน เราจะเห็นนักท่องเที่ยวไทยมาขอคำปรึกษาเรื่องการเที่ยวแบบ trekking มากขึ้น ซึ่งคนที่มาหาหมออาจแบ่งง่ายๆได้เป็น 2 กลุ่มครับคือ กลุ่มที่มีประสบการณ์มาบ้าง ไปมาหลายที่ ครั้งนี้อยากไปที่ใหม่ๆ  สถานที่ยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้นิยมกันไป ที่หนีไม่พ้นคือคือ ที่เนปาล ซึ่งมีหลาย route ให้เลือกไม่ว่าจะเป็น Poon Hill, ABC (Annapurna base camp), EBC (Everest base camp) หรือไป Kilimanjaro ที่ประเทศแทนซาเนีย ฯลฯ

แม้ว่าการเดิน trekking  แบบนี้มีประเด็นหลายอย่างที่ต้องระวัง เพราะต้องมีการเตรียมตัวเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ ความเสี่ยงในเรื่อง high altitude sickness ฯลฯ ซึ่งเราได้พูดกันมาหลายครั้งแล้วใน blog นี้ แต่จริงๆเวลาหมอเราเจอนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ เรามักจะไม่ค่อยเป็นห่วงเท่าไร เพราะมักจะมีความรู้ความเข้าใจอยู่บ้าง ให้คำปรึกษาไม่มากก็เข้าใจ 

แต่ช่วงหลังๆมีคนอีกกลุ่มหนึ่งครับ คือกลุ่มมือใหม่ที่ไม่เคย trek มาก่อนเลย แต่อยากไปเที่ยวแบบนี้ดูบ้าง เพราะเห็นรีวิวต่างๆใน pantip, facebook, instagram ฯลฯ  บางคนเห็นรูปสวยๆก็อยากไป หรือบางคนมีเพื่อนชวน เห็นรูปสวยๆ ก็ตกลงซื้อตั๋วเครื่องบินเลย ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าไปไหว ซึ่งกลุ่มนี้ต้องระวังเพราะยังไม่เห็นภาพว่าการไป trek จะลำบากหรือเหนื่อยแค่ไหน 

 

Between Manang and Thorung La Pass in Annapurna Circuit  
Photo by Simon English on Unsplash

วันนี้ลองมาดูกันนะครับ ว่ามีประเด็นอะไรที่น่ารู้เกี่ยวกับการเที่ยวแบบนี้บ้าง สำหรับมือใหม่ 

1. การเที่ยวแบบ Trekking  ไม่ใช่การท่องเที่ยวที่สะดวกสบาย ร่างกายต้องแข็งแรง และต้องพร้อม

การเที่ยวแบบ trekking คือการเที่ยวที่ต้องเดินเท้า ไปในสถานที่ธรรมชาติต่างๆ มักจะเป็นป่าเขา และมักจะอยู่ในที่สูงจากระดับน้ำทะเลพอสมควร ซึ่งการเดินเท้าไปเป็นระยะทางไกล ไปเป็นเวลาหลายๆวัน และต้องแบกของใช้ส่วนตัวติดตัวไปบ้าง แม้ว่าจะมีลูกหาบหรือ porter ช่วย ดังนั้นต้องเตรียมตัวอย่างดี สุขภาพร่างกายโดยทั่วไปต้องแข็งแรง สามารถออกกำลังกาย เดินไกลๆหรือวิ่งได้ไกลๆยิ่งดี คนที่มีสุขภาพไม่แข็งแรงหรือมีโรคประจำตัวไม่ควรไป

เรื่องที่พัก อาหารการกินระหว่างทาง หรือห้องน้ำห้องท่าก็ไม่สบายแน่นอน ไม่เหมือนเที่ยวในเมืองหรือนอนโรงแรม นอกจากนี้ต้องทำใจเรื่องการติดต่อกับโลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสัญญานมือถือ Internet 3G 4G ซึ่งสถานที่ใน trekking route ส่วนใหญ่จะไม่มี เพราะฉะนั้นต้องคิดถึงประเด็นนี้ไว้บ้างก่อนการเดินทาง 

2. ถามใจตัวเองก่อนว่าชอบการเที่ยวแบบ trekking จริงๆไหม อย่าตัดสินใจเพียงเพราะอยากเห็นวิวสวยๆ หรือมีเพื่อนชวนไป

ประเด็นนี้ก็สำคัญครับ โดยเฉพาะมือใหม่ เพราะหลายๆคนไม่ได้คิดอะไร เห็นรูปสวยหรือเพื่อนชวนก็ตัดสินใจไปเลย ต้องระวังนิดหนึ่งครับ เพราะอย่างที่กล่าวมาแล้วว่าการเที่ยวแบบนี้ไม่สะดวกสบาย ต้องอดทน ถ้าเราไม่ได้ชอบเที่ยวแบบนี้จริงๆ ไปตามเพื่อน เมื่อเวลาเจอความลำบากหรือสถานการณ์จริงๆ ก็จะไม่สนุก เผลอๆเถียงกันเปล่าๆว่าไม่รู้มาทำไม ทำให้ trip หมดสนุกไปเลย คนที่จะเที่ยวแบบ trekking ควรเป็นคนที่ชอบลุย กินง่าย อยู่ง่าย ชื่นชมกับธรรมชาติ 

แต่ถ้าเราเป็นคนที่ชอบเที่ยวแบบสบายๆ ต้องการพักผ่อน ชอบนั่งรถเที่ยว ไม่อยากเดิน ไม่อยากลำบาก อาหารการกิน หรือห้องน้ำห้องท่าต้องดี ก็ไม่เป็นไรครับ คนเราสามารถมี style ในการท่องเที่ยวต่างกัน ไม่จำเป็นว่าทุกคนต้องชอบเที่ยวแบบ backpacking หรือ trekking เหมือนกัน และไม่ใช่ประเด็นว่าการเที่ยวแบบไหนดีกว่ากันด้วย 

เต้นท์ที่พักระหว่างทางขึ้น Kilimanjaro

การเที่ยวธรรมชาติ แบบ trekking ก็เป็นสิ่งที่ดี ถ้าเราชอบ ถูกจริตกับเรา ในทางกลับกัน ถ้าเราชอบเที่ยวแบบไปกับทัวร์ เที่ยวประเทศเจริญๆ ก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่าไม่ดี หรือเป็นคนไม่รักธรรมชาติ มันไม่เกี่ยวกัน

การท่องเที่ยวควรจะเป็นกิจกรรมที่สร้างความสุขให้เรา ถ้าเราเที่ยวแบบไหนแล้วมีความสุขและสนุกกับมัน ก็เลือกแบบนั้นเถอะครับ ไม่ต้องฝืนไปทำหรือเที่ยวในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง 

3. ไม่ควรเลือก route ยากเกินไป ถ้ายังไม่มีประสบการณ์

ช่วงหลังๆที่คลินิกนักท่องเที่ยวเรา เริ่มเจอนักท่องเที่ยวมือใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ แต่อยากไปเดินที่ Everest base camp เลยหรือไป Kilimanjaro เลย ซึ่งควรต้องระวังครับ นักท่องเที่ยวมือใหม่พวกนี้มักจะไปเพราะเพื่อนชวน และเพื่อนคนที่ชวนส่วนใหญ่เป็นคนที่มีประสบการณ์มากแล้ว แต่มาชวนคนซึ่งไม่มีประสบการณ์เลย ในกรณีนี้ต้องระวังครับ เพื่อนไปได้ไม่ได้แปลว่าเราจะไปได้ ที่คลินิกนักท่องเที่ยวของเรา มักจะแนะนำว่าให้เริ่มจาก route ง่ายๆก่อนใหม่ เฉพาะน่าจะเคยเดินในประเทศได้ดีก่อน ก่อนที่จะไป trek ที่ต่างประเทศ 

เช่นนักท่องเที่ยวบางคน ไม่มีประสบการณ์ trek หรือแม้แต่เดินป่าในไทยมาก่อนเลย ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะชอบการเดิน และจะแข็งแรงพอที่จะไป trek แต่อยากจะไป EBC เพราะทนเพื่อนชวนไม่ได้ ในกรณีนี้หมอเราอาจะแนะนำให้ลองเดินขึ้นภูกระดึงก่อนไหม ถ้าขึ้นภูกระดึงไม่ไหว ก็อย่าไป EBC เลยมันเสี่ยงเกินไป (EBC route ใช้เวลาประมาณ 14 วัน เดินทั้งหมดประมาณ 130 km) แต่ภูกระดึงเดินน้อยกว่านี้มาก และไม่มีปัญหา high altitude sickness อีกต่างหาก

4. ศึกษาข้อมูลแผนการเดินทางให้ดี ว่าเราต้องเดินมากน้อยแค่ไหน และไปในที่สูงมากแค่ไหน

ปัจจุบันเราอยู่ในยุคสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่ายดาย ทุกที่ที่เราจะไป ย่อมมีคนเคยไปมาก่อนเราทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Poon Hill, ABC, EBC, Kinabalu, Kilimanjaro ฯลฯ ดังนั้นมือใหม่ควรจะหาข้อมูลสำคัญๆในสถานที่ที่จะไป trekking ก่อนตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ความสูง ฤดูกาลที่ควรไป รวมทั้งรายละเอียดการเดินในแต่ละวันว่าต้องเดินมากน้อยแค่ไหน และไปสูงแค่ไหน มีช่วงไหนที่เป็นหิน หรือต้องเดินผ่านหิมะหรือไม่ ฯลฯ

นอกจากนี้ควรดูรีวิวต่างๆ โดยอย่าดูแต่รูปสวยๆเพียงอย่างเดียว ต้องดูสภาพแวดล้อมในการเดินทางด้วย ว่าต้องเดินขึ้นเขามากแค่ไหน ห้องน้ำห้องท่ามีไหม และเป็นอย่างไร กินอาหารอย่างไร  นอนที่ไหน ฯลฯ ถ้าเราเตรียมตัว และรู้ข้อมูลอย่างดีจะทำให้การเดินทางของเราเป็นไปได้อย่างราบรื่นและมีความสุข

ไว้ตอนหน้าจะมาเล่าต่อให้ฟังครับว่า เราจะประเมินร่างกายตัวเองในเบื้องต้นได้อย่างไรว่าจะเดินทางไป trekking ไหวไหม